baseband และ broadband


baseband คืออะไร broadband คืออะไร


ระบบเครือข่ายแบบเบสแบนด์ (Baseband)

จะเป็นการสื่อสารข้อมูลที่สายสัญญาณหรือตัวกลางในการส่งผ่านสัญญาณสามารถส่งได้เพียงหนึ่งสัญญาณในเวลาขณะใดขณะหนึ่งเท่านั้น นั่นคือ อุปกรณ์ที่ใช้งานสายสัญญาณในขณะนั้นจะครอบครองช่องสัญญาณทั้งหมดโดยอุปกรณ์อื่นจะไม่สามารถร่วมใช้งานได้เลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ระบบโทรศัพท์ เป็นต้น ซึ่งการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ส่วนมากจะเป็นการสื่อสารแบบ Baseband รวมทั้งการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์อื่น ๆ(เช่น เครื่องพิมพ์ จอภาพ) การสื่อสารผ่าน modems และการสื่อสารผ่านเครือข่ายหลักๆ ด้วย ยกเว้นเครือข่ายแบบ B-ISDN ที่เป็นแบบ Broadband

ระบบเครือข่ายแบบบรอดแบนด์ (Broadband)
จะตรงข้ามกับ Baseband นั่นคือ จะเป็นการสื่อสารข้อมูลที่ตัวกลางในการส่งผ่านสัญญาณสามารถมีหลายช่องสัญญาณได้พร้อม ๆ กันโดยใช้วิธีแบ่งช่องความถี่ออกจากกัน ทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถสื่อสารกันโดยใช้ช่องความถี่ของตนเองผ่านตัวกลางเดียว ตัวอย่างเช่น ระบบเครือข่าย Cable TV ซึ่งสามารถส่งสัญญาณมาพร้อมกันหลาย ๆ ช่องบนสายสื่อสารเส้นเดียว และผู้รับก็สามารถเลือกช่องความถี่ที่ต้องการชมได้ เป็นต้น


Baseband และ Broadband ต่างกันอย่างไร



จากภาพ จะเห็นได้ว่า  Baseband ในหนึ่งช่องสัญญาณ จะใช้ได้เพียง 1 ช่อง ส่วน Broadband   จะ สามารถ multiply สัญญาณ พร้อมกันได้
Baseband และ Broadband อยู่ในมาตรฐาน IEEE 802.3 โดยได้กำหนดเทคนิคในการส่งข้อมูลบนสาย ซึ่ง ทั้ง 2 ชนิดจัดอยู่การส่งสัญญาณ ประเภทสายทั้งสิ้น แต่มีความแตกต่างทางการเข้ารหัส
1. Baseband  คือการเข้ารหัส ทางดิจิตอล โดยมีค่าทางไฟฟ้า 0 และ 1 โดยแบ่งออกเป็ตามมาตรฐาน ต่างๆ ดังนี้ 10 Base 5 , 10 ฺBase 2 ,10 Base-T, 1Base5 และ 100ฺBase-T โดยตามมาตรฐานคือการส่งสัญญาณ 10 Base xx คือ 10 Mbps ส่วนด้านหลังคือความยาวของสาย เช่น 100Base -T คือ ความเร็ว 100 Mbps ใช้บนสาย Pair หรือสายแลน
โดย   Baseband   จะใช้วิธีการส่ง คือช่องสื่อสารเดียว ซึ่งแตกต่างกับ แบบ  Broadband ที่ สายสัญญาณ 1 เส้น สามารถ ใช้ได้หลายๆช่องสัญญาณ ด้วยเทคนิคดังกล่าวจะเห็นได้ว่าค่ายๆ บริษัทอินเตอร์เน็ต นำมาใช้กันเพราะช่วยลดค่าใช้จ่าย และการบำรุงรักษา ได้เป็นอย่างดี

การเข้ารหัส โดยสัญญาณด้านบนเป็น สัญญาณ นาฬิกา นำมา โดยสัญญาณแบบ Multiplex ได้มาจาก  modulator  NRZ(L) Exclusive OR หรือ Mod 2 ADD
โดยเราจะพบว่า Base Band เป็นการเข้ารหัส ทางดิจิตอล จากต้นทาง  ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ในมือถือ หรือ Smart Phone ก็ยังใช้ Base Brand ยุเพราะจะส่งสัญญาณ แนวเส้นคลื่นแบบ FM  แต่ก็มีข้อจำกัดทางความเร็วเพราะ เป็นการส่งข้อมูลแบบทิศทางเดียว  หรือเทคโนโลยี CSMA/CD (Carrier Sense Multiple Access/Collision Detection) แปลเป็นไทยคือการส่งสัญญาณโดยใช้คลื่นพาหนะแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวนำ
2. Broadband  นิยาม ของ Board คือ อนาล๊อก
Broadband Access คือ บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ใช้เทคโนโลยี Asymmetric Digital Subscriber Line (ADSL) นั่นคือ การสื่อสารข้อมูลความเร็วสูง บนข่ายสายทองแดง หรือ คู่สายโทรศัพท์ โดยมีลักษณะสำคัญ คือ อัตราการเร็วในการรับข้อมูล (Downstream) และอัตราการเร็วในการส่งข้อมูล (Upstream) ไม่เท่ากัน โดยปัจจุบันทางเคเอสซีมีการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ในอัตรารับข้อมูลสูงสุดที่ 4 Mbps และอัตราการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 512 Kbps โดยระดับความเร็วในการ รับ-ส่ง ข้อมูลจะขึ้นอยู่กับ ระยะทาง และคุณภาพของคู่สายนั้นๆ
และเทคนิคการ modulation  /และdemodulation โดยสัญญาณ ที่ปลายทาง โดยการส่งสัญญาณ ในเส้น สายทองแดง หรือ คู่สายโทรศัพท์ สามารถส่งข้อมูล ได้ระยะที่ไกล และสามารถส่งต่อไปเรื่อยๆ โดยใช้การ repeater สัญญาณ ใหม่  ใช้ได้หลาย signal ที่พร้อมกัน และไม่แปรผันโดยตรงกับสภาพอากาศ
การส่งสัญญาณข้อมูลแบบ Baseband และ Broadband
คอมพิวเตอร์ทำงานกับสัญญาณที่เป็นระบบดิจิทัล คือ แทนด้วย 0 กับ 1 หรือแรงดันไฟฟ้าสูงกับต่ำ ในระบบเครือข่ายแบบ LAN การส่งข้อมูลในลักษณะของสัญญาณดิจิทัลธรรมดานี้จะเรียกว่า Baseband คือใช้ความถี่พื้นฐานของสัญญาณข้อมูลจริง ไม่ได้ปรับปรุงแต่งเติมแต่อย่างใด แต่การส่งแบบนี้มีปัญหาคือ ถูกรบกวนได้ง่ายด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือสัญญาณรบกวนอื่น ๆ เพราะสัญญาณไฟฟ้ามีรูปแบบไม่แน่นอน แล้วแต่ตัวข้อมูลจริง ถ้ามีอะไรแปลกปลอมเข้ามาก็แยกได้ยากว่าอะไรคือข้อมูล อะไรคือสิ่งแปลกปลอม ดังนั้นจึงมีการนำเอาคลื่นความถี่สูงเข้าใช้เป็นคลื่นพาหะ (carrier) โดยผสมสัญญาณข้อมูลเข้ากับคลื่นพาหะนี้ในแบบของการผสมทางความถี่ (FM: Frequency Modulation) แบบเดียวกับการส่งวิทยุกระจายเสียง FM นั่นเอง แต่เนื่องจากสัญญาณที่เราผสมเข้าไปในคลื่นพาหะนี้มีเพียง 2 ระดับ คือ 0 กับ 1 ดังนั้นคลื่นที่ส่งจึงมีลักษณะเป็นสองความถี่สลับกันไป ดังรูป หรือในบางกรณีอาจใช้การผสมสัญญาณตามจังหวะหรือเฟส (phase) ของสัญญาณก็ได้ การที่นำคลื่นพาหะมาใช้นี้ทำให้ผู้รับสามารถแยกความแตกต่างระหว่างข้อมูล 0 กับ 1 ได้ดีขึ้น โดยดูจากความถี่ ซึ่งถูกรบกวนได้ยากกว่า และการใช้สัญญาณความถี่สูง (แถบความถี่กว้าง) มาช่วยในการส่งข้อมูลนี้ เราเรียกว่า Broadband

วิธีการนี้ดูเหมือนว่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่าการส่งในแบบ Baseband และส่งได้ด้วยความเร็วสูงกว่า แต่ก็เสียค่าใช้จ่ายมากกว่า เพราะต้องเพิ่มอุปกรณ์ในการจัดการกับสัญญาณที่ความถี่สูงๆ ระดับความถี่วิทยุ (RF: Radio Frequency) เข้าไปด้วย และต้องใช้สาย STP หรือโคแอกเชียล ที่มีโลหะถักล้อมรอบสายกลางอยู่ ในการนำสัญญาณ 

ในปัจจุบันระบบเครือข่ายแบบ LAN จะยังคงใช้การรับส่งสัญญาณแบบ Baseband เป็นหลัก ส่วน Broadband จะใช้กับการรับส่งผ่านสายที่มีระยะทางไกล ๆ เช่นการในเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยใช้ระบบ ADSL เป็นต้น

สำหรับการรับส่งสัญญาณผ่านสายใยแก้วนำแสงนั้น จะใช้สัญญาณแสงในแบบ Broadband โดยผสมสัญญาณดิจิทัลเข้ากับสัญญาณแสง ซึ่งมีความถี่สูงกว่าคลื่นวิทยุขึ้นไปอีก ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ในอัตราสูง




ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น